วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เอื้องสามปอย

เอื้องสามปอย

     ปอย เป็นคำพื้นเมืองของชาวเหนือ ซึ่งใช้เรียกงานประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานบุญ ในฤดูของงานปอยนั้นมักจะ จัดขึ้นในช่วงต้นของฤดูร้อนและในบางครั้งอาจ ยาวติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่กล้วยไม้ชนิดหนึ่งให้ ดอกผลิบานส่งกลิ่นหอมอบอวนอยู่พอดี หญิงสาวชาวเหนือจึงเด็ดดอกของกล้วยไม้ที่หอมรัญจวนนี้ นำมาเหน็บ ประดับติดไว้กับมวยผมของตน กล้วยไม้ชนิดนี้จึงถูกขนานนามโดยชาวเหนือว่า สามปอย ซึ่งมีความหมายคือ เอื้อง อันงดงามที่เบ่งบานได้ยาวนานตลอดยามงานปอยทั้งสามฤดูของพวกเขานั่นเอง
     สามปอยเอื้องเมืองเหนือที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของกลิ่นหอมเย้ายวน มันจึงเป็นกล้วยไม้ที่ได้รับความนิยมอย่าง แพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในต่างประเทศสามปอย และลูกผสมจากสามปอยเป็นกล้วยไม้สีเหลืองยอดฮิต ติดตลาดรองจากฟ้ามุ่ยและลูกผสมของฟ้ามุ่ย และสายพันธุ์แท้นี้ก็ยังมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มันเป็นที่จับตา มองของเหล่านักเลี้ยงกล้วยไม้ต่างชาติหลายคน เหล่าผู้คนแดนตะวันตกจึงต่างพากันอิจฉาเมืองร้อนอย่างไทยเรา ที่มีสามปอยหลากหลายสายพันธุ์ไว้ครอบครอง 

     ผมได้เดินทางไปสืบเสาะหาสามปอยหลากหลายพื้นที่ และได้ ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสามปอยจากนักเลี้ยงกล้วยไม้ ระดับเซียนสามปอยเก่าแก่หลายคน หนึ่งในนั้นคือคุณชิเนนทร เซียนสามปอยที่มีชื่อเสียงในเชียงใหม่มายาวนานมากกว่า ๕๐ ปี ท่านได้เล่าเรื่องความหลังเกี่ยวกับสามปอยและแยกลักษณะสาม ปอยแต่ละสายพันธุ์ให้ผมฟัง

     สามปอยนก หรือที่ถูกเรียกในนาม สามปอยหางปลา เป็นสามปอยที่มีขนาดเล็กที่สุด กลีบดอกทั้งห้ากลีบเล็กเรียวและส่วนกลีบดอกที่ดูคล้ายปีกนั้นบิดลู่ ราวกับนกที่กำลังโผบิน พื้นดอกนั้นหากเพ่งดูดี ๆ แล้วบางต้นจะพบลายตารางที่เรียกว่าลายสมุกอยู่ สามปอยชนิดนี้มีกลิ่นหอมเบา ๆ เท่านั้น เมื่อลองมองมาที่ปากของดอกสามปอยชนิดนี้จะพบว่าที่ปลายสุดของปากจะมีลักษณะ คล้ายกับหางปลา และเมื่อลองไล่ย้อนไปตรงโคนของปากจะพบสีชมพูเรื่อ ๆ อยู่ ดอกของพวกมัน มีทั้งสีน้ำตาลแดง สีแดงสด และสีเขียวหรือเหลือง ซึ่งในศัพท์นักเลี้ยงกล้วยไม้เรียกชนิดที่มีสีเขียวนี้ว่า "เผือก" ก้านช่อของ สามปอยนก นั้นยาว แต่ดอกที่อยู่บนก้านช่อนี้จะห่างจากกันค่อนข้างมาก ในก้านช่อจะประกอบไปด้วยดอกเล็ก ๆ ราว ๆ ๑o-๒o ดอก "ลักษณะที่ดีของ สามปอยนก จะต้องมีดอกที่ถี่ช่อแน่น ก้านดอกสั้นกว่าปรกติ หากเป็นไปได้มีขนาด ดอกที่ใหญ่ด้วยจะยิ่งดีเลิศ” คุณชิเนนทรกล่าว

ฟ้ามุ่ย ( vanda coerulea )




ฟ้ามุ่ย ( vanda coerulea )

ฟ้ามุ่ย ( vanda coerulea )
     ฟ้ามุ่ย กล้วยไม้กลุ่มสกุล Vanda เป็นกล้วยไม้ที่มีชื่อก้องติดหูคู่กับคนไทยมานานแสนนาน เมื่อเอ่ยถึงเอื้อง ฟ้ามุ่ย แล้ว ไม่มีใครที่ไม่อยากครอบครอง ว่ากันว่าล้ำค่าที่สุด หายากที่สุด และได้รับการยอมรับว่าเป็นกล้วยไม้ที่สวยที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นอกจากผู้คนที่ใช้ชีวิตกับหุบเขาแล้ว ชาวพื้นราบแทบไม่มีโอกาสได้ครอบครอง กล้วยไม้ชนิดนี้จึงเป็นอัญมณีสีฟ้าที่ล้ำค่าที่หลายคนต่างหมายปองและช่วงชิง
     นอกจากชื่อ ฟ้ามุ่ย แล้ว กล้วยไม้ชนิดนี้ยังรู้จักกันในอีกหลาย ๆ ชื่อ อาทิเช่น พอดอนญ่า และพอท็อก เป็นต้น กล้วยไม้ชนิดนี้พบได้ตามในป่าดิบเขาของภาคเหนือ กล้วยไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1000 เมตรเป็นต้นไป จึงไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงกล้วยไม้ชนิดนี้ได้ในท้องที่ล่างภาคเหนือลงไป จังหวัดที่พบว่ามี ฟ้ามุ่ย ขึ้นอยู่นั้นได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และตาก ในสมัยหนึ่ง ฟ้ามุ่ย เป็นกล้วยไม้ที่เป็นที่ต้องการของนักเลี้ยงขนาดที่ว่ามีการจ้างวานให้ชาวบ้านที่อาศัยบนภูเขานำ ฟ้ามุ่ย เก็บใส่
         กระสอบเพื่อนำมาจำหน่ายในท้องตลาดให้กับนักเลี้ยงกล้วยไม้ ทำให้ ฟ้ามุ่ย ในภาคเหนือลดน้อยลงจนน่าตกใจและใกล้สูญพันธุ์ ไซ เตส ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศ มี วัตถุประสงค์ที่จะรักษาพันธุ์พืชและสัตว์ป่า จึงขึ้นทะเบียน ฟ้ามุ่ย ไว้ในบัญชีพืชอนุรักษ์ บัญชี 1 ร่วมกับกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี พืชอนุรักษ์ บัญชี 1 หมายถึง ชนิดพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามทำการค้าระหว่างประเทศโดยเด็ดขาด ทั้งการนำเข้า ส่งออก และนำผ่านชนิด ทั้งนี้ต้นที่จะจำหน่ายไปต่างประเทศจะต้องเป็นต้นที่ได้จากการขยายพันธุ์ เทียมเท่านั้น ทำให้การส่งออกกล้วยไม้ชนิดนี้เป็นไปด้วยความลำบาก แต่ในปี พ.ศ. 2549 มีการประชุมไซเตส ที่จังหวัดเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร ได้ยื่นขอมติที่ประชุมให้เพิ่มถอนรายชื่อ ฟ้ามุ่ย ออกจาก บัญชี 1 เป็นบัญชี 2 แทน โดยมีเหตุผลว่า ฟ้ามุ่ย ได้มีการคัดพันธุ์และขยายพันธุ์โดยวิธีขยายพันธุ์ เทียม (ปั่นตา หรือเพาะเมล็ดในห้องปฏิบัติการ) แล้วนำมาปลูกเลี้ยงในประเทศกันอย่างแพร่หลาย จากการถอนออกจากบัญชี 1 มาอยู่บัญชี 2 ทำให้การส่งออก ฟ้ามุ่ย ไปต่างประเทศสะดวกกว่าแต่ก่อน
     ในปัจจุบัน เราอาจพบว่ามีกล้วยไม้มากมายที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกับ ฟ้ามุ่ย แวนดาสีฟ้าไปจนถึงสีน้ำเงินเข้มจัด ทั้งหมดเป็นลูกผสมของ ฟ้ามุ่ย โดยเป็นไปได้ว่าอาจจะมีเลือดของ ฟ้ามุ่ย อยู่ราว ๆ 25% - 50% และบางต้นก็คล้ายมากจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็น ฟ้ามุ่ย แท้ หรือ ฟ้ามุ่ย ลูกผสม โดยเฉพาะนักเลี้ยงกล้วยไม้ใหม่ที่อาจจะดูเผิน ๆ แล้วกล้วยไม้ที่มีสีฟ้าอาจสรุปได้ว่าเป็น ฟ้ามุ่ย เกือบทั้งหมดก็เป็นได้

           ลักษณะของกล้วยไม้ชนิดนี้ : เอื้อง ฟ้ามุ่ย เป็นกล้วยไม้อิงอาศัยหรือไม้อากาศ สามารถปรับตัวอย่างยอดเยี่ยม ขึ้นเกาะอยู่กับเปลือกไม้ของไม้ยืนต้นในป่า มีรากยึดเกาะเหนียวแน่นและอาศัยเพียงแร่ธาตุที่ชะมากับน้ำฝนผสานกับความชื้น ในอากาศ ก็สามารถรอดชีวิตผลิดอกให้ได้เห็นกันทุกปี ฤดู กาลออกดอกคือระหว่างเดือน กรกฎาคม ถึงธันวาคม โดยออกดอกเป็นช่อตั้งจากซอกใบ ช่อดอกยาว 20-40 ซ.ม. ช่อดอกโปร่ง เมื่อดอกบานเต็มที่มีขนาดกว้าง 4-7 ซ.ม. โดดเด่น ด้วยกลีบเลี้ยงและกลีบดอกรูปร่างมน สีฟ้าอ่อนหรือสีฟ้าอ่อนหรือสีฟ้าอมม่วงมีเสน่ห์ดึงดูดสายตา และน้อยนักที่จะพบสีสันอย่างเช่น สีชมพู หรือ สีขาวล้วน ซึ่งเป็นสีที่หายากที่สุด ทั่วกลีบมีลายเส้นร่างแหสีครามเข้มนิยมเรียกกันว่า “ลายตาสมุก” ส่วนกลีบปากมีสีม่วงน้ำเงินงามยิ่ง 

        การปลูกเลี้ยง ฟ้ามุ่ย 
ในการปลูกเลี้ยง ฟ้ามุ่ย ผมแนะนำให้หาพันธุ์แท้จากฟาร์มกล้วยไม้ เนื่องจาก ฟ้ามุ่ย ที่พัฒนาสายพันธุ์ในพื้นราบจะสามารถเลี้ยงได้ง่ายกว่าการนำกล้วยไม้ป่าที่อยู่บนดอยสูง ๆ มาเลี้ยงที่บ้าน และ กล้วยไม้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว ยังมีความสวยงามกว่า ฟ้ามุ่ย ที่มาจากป่าแท้ ๆ ด้วยครับ แต่การเลือกซื้อ ฟ้ามุ่ย ให้ได้ ฟ้ามุ่ย พันธุ์แท้ ไม่ใช่ลูกผสมนั้น ต้องพิจารณาและคำนึงให้ดีก่อนการตัดสินใจซื้อซึ่งอยู่ที่ดุลพิจนิจของผู้ซิ้อเองทั้งหมดครับ
กล้วยไม้ขวด : เมื่อได้ ฟ้ามุ่ย ขวดมาแล้ว ให้นำลูกไม้ขวดที่ได้รับมาวางในพื้นที่โรงเรือนที่เราจะปลูก โดยห้ามให้แดดส่องถึงเป็นอันขาด (หมายถึงห้ามถูกแสงแดดตรง ๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าเอาไปเก็บในร่มซะมืดทึบ) ถ้าแดดส่องถึง อุณหภูมิในขวดจะสูงและทำให้ลูกไม้ในขวดตายครับ ที่นำมา วางก่อนก็เพื่อให้ลูกไม้ปรับตัวกับสภาพโรงเรือนก่อนนั่นเองครับ ส่วนระยะวันที่จะวางนั้นก็ราว ๆ 10 - 15 วัน หรือจะ 15 - 30 วันก็ได้ครับ แล้วแต่ความสะดวก หลังจากวางทิ้งไว้นานพอสมควรแล้ว เราก็สามารถเคาะออกขวดได้ตามปกติครับ 
     ลูกไม้ที่ออกขวดแล้วนั้น ให้นำวางเรียงไว้ในตะกร้าพลาสติกก่อนครับ ตะกร้าพลาสติก 10-15 บาท ที่ขายในตลาดทั่วไปก็ใช้ได้ครับ โดยรดน้ำทุกเช้า แขวนผึ่งไว้แบบนี้จนกว่าจะมีรากใหม่ ประมาณ 1 เดือนได้ ซึ่งในระยะที่อยู่ในตะกร้านี้ ควรอยู่ใต้ซาแรนที่พลางแสงอย่างน้อย 70 - 80% ทั้งนี้เนื่องจากลูกไม้ยังไม่ต้องการแสงมาก ปุ๋ยและยาสามารถฉีดพ่นได้แต่ควรให้ครึ่งเดียวจากปกติ เช่นเดียวกับเด็กอ่อนที่ต้องให้อาหารอ่อน ๆ ก่อนครับ หลังจากรากใหม่เติบโตดีก็สามารถลงกระถางนิ้วได้เลย!


       การขุน และการให้น้ำและปู่ยกับ ฟ้ามุ่ย
ฟ้ามุ่ย บางท่านถึงกับให้น้ำถึง 2 ครั้ง คือเช้าและเย็นและกล่าวกันว่าเป็นกล้วยไม้ที่ต้องการน้ำมาก แต่สำหรับผมแล้วรดน้ำเพียงแค่เวลาเดียวคือเช้าเท่านั้นเนื่องจากทางเหนืออากาศชื้นอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยครับ หลักของการให้น้ำคือ ชื้นแต่ไม่แฉะ เราสามารถให้น้ำ ฟ้ามุ่ย ช่วงเวลาได้สองช่วงคือ เช้า หรือ เย็นก็ได้ ช่วงเช้าคือตั้งแต่เริ่มมีแสงไปจนถึง 8 โมงเช้า และ เย็นตั้งแต่หลัง 4 โมงเย็น หากรดน้ำในช่วงกลางวัน น้ำอาจจะเข้าไปขังใน กาบใบทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ตามมาได้นั่นเองครับ
     ปุ๋ย หากเป็นระยะไม้เล็ก สามารถให้ปุ๋ยสูตร เสมอ สลับกับตัวหลังสูงได้ ทุก ๆ สัปดาห์ ตัวหลังสูงจะเป็นสูตรที่ช่วงเร่งให้กล้วยไม้โตเร็วขึ้นครับ สูตรปุ๋ยนั้นไม่แน่นอนแล้วแต่ว่าจะประยุคต์ใช้ตามเหตุผลของแต่ละคนครับ ของคุณชิเนนทร ท่านจะสลับเสมอบ้าง กลางบ้าง หลังบ้าง มั่ว ๆ แล้วแต่ว่าอยากจะฉีดอะไรครับ แต่ผลที่ได้ กล้วยไม้ท่านก็สวยสุดยอดทุกต้นเลยครับ ซึ่งก็แปลกดีทั้ง ๆ ที่ไม่มีสูตรตายตัวแท้ ๆ !?

ฟ้ามุ่ย ไม่ออกดอก ทำไงดี ?
เมื่อพบว่า ฟ้ามุ่ย ไม่มีดอก ให้เริ่มพิจารณาดังนี้ครับ
1. เป็นกล้วยไม้จากป่าแท้ ๆ กล้วยไม้ที่ลงดอยนำมาปลูกพื้นราบ หลาย ๆ ต้นปรับตัวไม่ได้ก็จะไม่ให้ดอกครับ เผลอ ๆ เลี้ยงได้แต่ให้ดอกยาก
2. แสงไม่เพียงพอ ผมเคยเดินตามหมู่บ้านบนเขาพบว่าชาวบ้านเลี้ยง ฟ้ามุ่ย กันโดยที่ไม่มีซาแรนปิดบังกลับพบว่า ฟ้ามุ่ย ให้ดอกช่อยาวสวยมาก นั่นเป็นเพราะว่าแสงเป็นปัจจัย สำคัญให้การออกดอกครับ หากได้รับแสงมากกระบวนการปรุงอาหารของกล้วยไม้ก็จะดีและส่งผลไปถึงการออกดอก กรณีเลี้ยงพื้นราบควรเลี้ยงใต้ซาแรนพลางแสงราว ๆ 60-70% กล้วยไม้ที่ได้รับแสงเพียงพอ ไม่ว่าชนิดได ก็จะให้ดอกได้ง่ายครับ ลองดูนะครับ
3. ป่วย อาการป่วยที่พบบ่อยใน ฟ้ามุ่ย คือ ราเข้าใส้ ให้ระวังให้ดีเพราะไม่รู้ทำไม ราชอบเข้าใส้ ฟ้ามุ่ย มากครับ ป้องกันด้วยการหมั่นฉีดยาและทำให้โรงเรือนสะอาดเข้าไว้ครับ



เอื้องสามปอยขุนตาน ( Vanda denisoniana )


เอื้องสามปอยขุนตาน ( Vanda denisoniana )

สามปอยขุนตาน ( Vanda denisoniana )
     สามปอยขุนตาน เป็นกล้วยไม้กลุ่มสกุลแวนดา (Vanda) ชื่อของ สามปอยขุนตาน นั้นได้มาจากแหล่งที่ค้นพบในครั้งแรก ๆ คือ เทือกเขาขุนตาน ปัจจุบันคือ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ตั้ง อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง
ลักษณะทั่วไป สามปอยขุนตาน เป็นกล้วยไม้เจริญเติบโตทาง ยอด ใบมีลักษณะยาวเรียวเรียงกันเป็นรูปตัว V พบได้ตามเทือก เขาทางภาคเหนือ สามปอยขุนตาน ที่พบแต่ละแหล่งจะมีลักษณะ ของดอกที่แตกต่างกัน รวมไปถึงกลิ่นด้วย สามปอยขุนตาน ที่เล่า ลือเรื่องกลิ่นหอมแรง ว่ากันว่า ต้องมาจากภาคเหนือ อันนี้จะจริง หรือไม่ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูครับ orchidtropical เราอยู่ภาคเหนือ อยู่แล้ว สามปอยขุนตาน ที่พัฒนามาจึงเป็นไม้เหนือทั้งหมดครับ
     ดอกของ สามปอยขุนตาน มีสีสันตั้งแต่สีขาวโพลน ไล่ผ่านสี เหลืองเปลือกกล้วย และเข้มขึ้นไปจนสุดที่สีส้มจัด ขนาดของดอก นั้นมีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าเหรียญ 5 ไปจนถึง ใหญ่กว่าเหรียญ 10 
ฤดูให้ดอก อยู่ในช่วงเดือน กุมภาพันธุ์ ยาวนานได้จนถึง กรกฏาคม หรือ มากกว่า ดอกของ สามปอยขุนตาน นั้นบาน ยาวนานได้ถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว ที่เด่นที่สุดของ สามปอยขุนตาน คือความหอมที่เย้ายวน กลิ่นของ สามปอยขุนตาน นั้น หอมราวกับอบเชย และกลิ่นจะแรงที่สุดคือช่วงตอนกลางคืน และตอนรุ่งสางเท่านั้น ในตอนกลางวัน สามปอยขุนตาน จะ มีกลิ่นเพียงเบา ๆ ต้องดมใกล้ ๆ แต่บางต้นก็มีกลิ่นหอมตอนกลางวันเช่นกัน ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่มีเพียงบางต้นเท่านั้น 

ลักษณะดอก สามปอยขุนตาน กลีบมีลักษระทรงรูปไข่ ประกอบด้วยกัน 5 กลีบ บริเวณปากดอกตรงปลายสุดแตกแยกออกมาเป็น 2 แฉก มีสีออกสีเหลือง อ่อนไปจนถึงสีขาว ลึกเข้าไปในปากดอกมีสันสองด้านเรียกว่า Side lope มี ลักษณะเป็นสีขาว เส้าเกสรเป็นสีขาว
     แต่ยังมี สามปอยขุนตาน อีกประเภทที่มีลักษณะเด่นกว่า สามปอยขุนตาน ทั่วไป เรียกกันในชื่อ สามปอยหลวง ลักษณะทั่วไปคล้าย สามปอยขุนตาน ทุก ประการ แต่เชื่อกันว่า กลีบดอกและปากดอกหนากว่า ขนาดดอกนั้นใหญ่กว่า บางต้นพื้นดอกมีลายสมุกชัด ปากมีสีเขียวโทนเข้ม ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม กลิ่น หอมแรงกว่า สามปอยขุนตาน หายากกว่า และมีน้อยคนที่จะดูออกอย่างแท้จริง

จากซ้ายไปขวา สามปอยขุนตานสีเหลือง, สามปอยขุนตานส้ม, สามปอยหลวง 

ผมได้เดินทางเสาะหาเรื่องข้อมูล สามปอยหลวง นานนับปี ซึ่งได้เก็บ รวบรวมภาพ สามปอยหลวง จากสถานที่ต่าง ๆ ที่หาได้ ประกอบกับ สัมภาษณ์บุคคลที่มีประสบการณ์และคลั่งไคร้สามปอยมายาวนาน สองท่าน ค้นหาเรื่องราวของ สามปอยหลวง ในหนังสือกล้วยไม้ หลากหลายเล่มประกอบกัน ซึ่งได้เขียนสรุปถึงความแตกต่างของ เจ้าเอื้อง สามปอยหลวง และ สามปอยขุนตาน ไว้ที่บทความเรื่อง สามปอย <http://www.orchidtropical.com/vanda-denisoniana.php> ซึ่งเก็บไว้ในหน้า นานาสาระกล้วยไม้  <http://www.orchidtropical.com/orchid-knowledge.php>ครับ 

การปลูกเลี้ยงสามปอยขุนตาน
สามปอยขุนตาน เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย ถึงแม้จะเป็นกล้วยไม้ทางภาคเหนือ แต่ก็เป็นกล้วยไม้ทนร้อนอีกตัวหนึ่งที่ สามารถปลูกเลี้ยงได้ในทุกภูมิภาคของไทยครับ โดยการปลูกเลี้ยงมีวิธีดังนี้
กรณีได้กล้วยไม้มาเป็นต้นใหญ่แบบถอนรากถอนโคน
- ให้นำกล้วยไม้ที่ได้ มาตัดแต่งรากที่แห้งออกให้หมด เหลือเพียงรากดีเท่านั้น หากปลูกลงในกระเช้าพลาสติก ให้พยายาม บรรจงร้อยรากที่มีอยู่ลงในช่องในรูกระเช้าภาชนะปลูก แล้วจับลำตั้งขึ้นให้ตรง ยึดโดยฟิวหรือเชือกฟางมัดติดกับลวด แขวน นำไปไว้ที่ร่มรำไรเสียก่อนเพื่อให้ สามปอยขุนตาน ได้ปรับตัวแตกรากแตกใบใหม่แข็งแรงดีเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ย้ายไปยังที่ที่ปริมาณแสงมากขึ้น
- หากติดขอนไม้ ให้ใช้เชือกฟางผูกมัดกล้วยไม้กับขอนไม้ให้แน่น อย่าให้สั่นคลอน หากคลอนไปมา จะทำให้กล้วยไม้แตก รากใหม่ช้า อาจจะชงักการเจริญเติบโต หรือติดโรคได้ โดยเฉพาะ ราเข้าใส้ ซึ่งเป็นง่ายในสกุลแวนดา โดยเฉพาะตอน รากมีแผล เชื้อจะเข้าไปทางแผลบริเวณรากและลามเข้าต้นจนตายในทที่สุดได้ ป้องกันด้วยการฉีดยากันรา 1 ครั้งต่อ 2-3 สัปดาห์ โดยเฉพาะฤดูฝน

กรณีกล้วยไม้เพาะพันธุ์จากฟาร์ม
- หากได้เป็นไม้ขวด ให้นำลูกไม้ปลูกลงในตะกร้า โดยห้ามรองพื้นด้วยสเฟกนั่มมอสหนา ๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้รากชื้น จนอาจเน่าได้ ให้นำตะกร้าแขวนไว้ในที่ที่มีลมพัดถ่ายเทสะดวก มีแสงเข้าถึงราว ๆ 60-70% หากได้รับแสงตลอดวันจะดี มาก (หมายถึงแสงที่ลอดผ่านใต้สแลน) หรือหากต้องการหนีบลงนิ้วก็ทำได้ภายหลังจากการผึ่งในตะกร้าแล้ว 1 - 2 เดือน หรือถ้าใจร้อนก็หนีบเลยก็ได้ครับ ลองดูวิธีการเลี้ยงไม้ในตะกร้า และการหนีบไม้นิ้วได้ที่ บทความการหนีบไม้นิ้ว
- กรณีเป็นไม้รุ่น สามารถปลูกเลี้ยงต่อได้เลยไม่มีปัญหาได ๆ ครับ หมั่นฉีดปุ๋ย ยา อาหารให้ สามปอยขุนตาน ของเราให้ สม่ำเสมอ ก็มีดอกให้ดูทุกปีอย่างแน่นอนครับ ต่างจากไม้ป่า ที่อาจจะชงักไปชั่วคราว หรืออาจให้ดอกปีเว้นปี หรือเผลอ ๆ น้อยใจไม่ให้ดอกเลยก็มี
***ข้อควรระวัง !! อย่าให้ราก สามปอยขุนตาน ยาวแตะพื้น หรือ ระวังอย่าให้รากมีรอยช้ำ หรือ ขาด เพราะ กล้วยไม้สกุล แวนดา ติดโรคราเข้าใส้ได้ง่ายมาก เมื่อรากมีแผล หรือช้ำ โดยเฉพาะโรงเรือนที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
****เครื่องปลูกไม้รุ่นนั้นแทบไม่จำเป็นต้องมี สามปอยขุนตาน เป็นแวนดาที่แตกรากเร็วมาก หากเลี้ยงเปลือยรากในกระเช้า รากจะแตกแขนงและยาวเรื่อย ๆ ดูสวยงามไปอีกแบบครับ หากใส่เครื่องปลูกต้องระวังให้ดี เครื่องปลูกที่เก่า มักเป็นตัวปัญ หาเรื่องโรคราเข้าใส้ตามมา ดังนั้น ไม่ใส่ น่าจะดีกว่าไหมครับ ?

สามปอยขุนตานไม่ออกดอกทำไงดี ?
- กรณีเลี้ยงเท่าไหร่ก็งามแค่ใบ ไม่มีดอกเสียที ให้ลองเปลี่ยนที่ โดยพยายามให้ได้รับแสงที่มากขึ้น ปัญหาของกล้วยไม้ที่ มีใบงาม จนเกินเหตุแตกหน่อแตกกอดีแต่ไม่มีดอกนั้นเป็นเพราะขาดแสงครับ ยิ่งได้รับแสงมาก กล้วยไม้ยิ่งให้ดอกง่าย แต่ไม่ได้หมายถึงให้เรานำกล้วยไม้ไปตากแดดทั้งวันนะครับ ให้ได้รับแสงอย่างน้อย ๆ ก็ตอนเช้า ตั้งแต่แสงแรกถึง 10.00- 11.00 น. หรือ หลัง 15.00 น. เป็นต้นไป หลีกเลี่ยงแสงแดดตรง ๆ ช่วงเวลา 11.00 น. - 15.00 น. เพราะแดดแรง ร้อนจัด อาจทำให้ใบกล้วยไม้ไหม้เกรียมถึงตายได้ ซาแรนที่ใช้ ในโรงเรือนจะอยู่ที่ 40-70 % โดยเลือกตามความเหมาะสมของแต่ ละพื้นที่ ถ้าร้อนมากก็มุงหนาหน่อย ถ้าไม่ร้อนก็มุงบางเอาแสงมากเข้าว่าครับ
*****ซาแรน 40% หมายถึง แสงผ่านได้ 60% ที่เหลือ 40% แสงผ่านไม่ได้ ปัญหาดอกฝ่อ ปลายยอดดอกฝ่อ
- เกิดขึ้นได้หากอากาศร้อนจัดครับ ยิ่งร้อนมาก โอกาสปลายยอดดอกฝ่อ ก็มีมากตามขึ้นไป ป้องกันด้วยการ มุงซาแรนให้สูงจากปลายยอดกล้วยไม้ ขึ้นไปราว ๆ 1 เมตร (ผมกะเอานะครับ ลองเอาตามเหมาะสมครับ ไม่สูง มากไป ไม่ต่ำเกินไป ) ร่มเงาของซาแรนจะช่วยป้องกันความร้อนจากแดด ได้ทำให้ยอดดอกไม่ฝ่อ
- อีกหนึ่งสาเหตุคือเพลี้ยไฟเข้าทำลายดอกครับ วิธีป้องกัน ลองอ่าน บทความเรื่อง เพลี้ยไฟ ดูนะครับ



ลิ้นมังกร, ปัดแดง Habenaria rhodocheila



ลิ้นมังกร, ปัดแดง Habenaria rhodocheila

       กล้วยไม้ลิ้นมังกร (Habenaria rhodocheila) จัดอยู่ในวงศ์ย่อยของ Habenaria ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูกาลเดียวที่เรามักจะพบ ลิ้นมังกร หรือ ปัดแดง บานสะพรั่งอยู่ตามบริเวณโขดหินใกล้ ๆ น้ำตก ด้วยเสน่ห์ของสีสันอันหลากสี ทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สีชมพู ไปจนกระทั่งสีโทนอ่อนเกือบจะเป็นสีขาว มันจึงเป็นกล้วยไม้ที่มีเสน่ห์แสนเย้ายวน 
     ในฤดูแล้ง ลิ้นมังกร จะพักหัวของมันและคอยกักเก็บตุนสารอาหารไว้จนกระทั่งถึงฤดูกาลให้ดอกอีกครั้งในฤดูฝนต่อไป ในระหว่างพักตัวนี้ท่านที่เลี้ยง ลิ้นมังกร อยู่ อย่าพลั้งเผลอเข้าใจผิดทิ้งกระถางไปเสียนะครับ ไม่เช่นนั้น ลิ้นมังกร คงจากไปไม่รู้ลืมแน่ ๆ เชียว !
      ในบรรดา ลิ้นมังกร หลากหลายสี มีจำนวนหนึ่งที่มีรูปร่างของทรงต้นและลักษณะดอกที่แตกต่างออกไป เจ้า ลิ้นมังกร ประหลาดนี้ จะมีลักษณะของสีสันที่ต่างออกไป รวมไปถึงลักษณะ ดอกที่พิลึกกึกกือผ่าเหล่าไปจากพวกพ้อง ลิ้นมังกร ชนิดนี้มีชื่อในท้องถิ่นว่า ว่านยานกเว้ เป็น ลิ้นมังกร ที่อยู่ทางภาค ใต้ของเรานี่เองครับ ใบของ ว่านยานกเว้ จะต่างไปจาก ลิ้นมังกร ทั่ว ๆ ไปคือ มีลายจุด ในขณะที่ชนิดอื่นที่เราพบเห็นทั่ว ไปจะมีใบสีเขียวล้วน นอกจากนี้ดอกของ ว่านยานกเว้ ยังมีขนาดใหญ่กว่า ลิ้นมังกร ทั่วไปอีกด้วย ! 

การปลูกกล้วยไม้ลิ้นมังกร
สำหรับการปลูก ลิ้นมังกร นั้น นิยมใช้กระถางขนาดพอดีไม่ใหญ่เกินไป หากจำนวนหัวน้อยให้ปลูกลงในกระถาง เล็ก ทั้งนี้เพื่อไม่ให้หัว ลิ้นมังกร เน่าครับ เครื่องปลูกจะประกอบไปด้วย ทราย และกาบมะพร้าว หรือจะใช้ขี้เถ้าแกลบ ผสมลงไปด้วยก็ได้ครับ เน้นเครื่องปลูกให้โปร่ง ระบายน้ำได้ดี หากน้ำขัง หัวของ ลิ้นมังกร จะเน่าและตายในที่สุดครับ กระถางที่ปลูก ลิ้นมังกร ควรอยู่ในร่มรำไร ไม่ควรให้ถูกแดดแรง ๆ ลิ้นมังกร ชอบร่มรำไรประมาณ 40 - 60 % ครับ
     การขยายพันธุ์ ทำได้โดย 2 วิธี คือการแยกหน่อ หรือ หัวของ ลิ้นมังกร หรือ ด้วยการเพาะเมล็ดสำหรับการเพาะ เมล็ดนั้น ได้มีผู้บอกต่อกันไว้ หากนำเมล็ดของ ลิ้นมังกร เคาะลงบนเครื่องปลูกที่ปลูก ลิ้นมังกร อยู่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะ มี ลิ้นมังกร ต้นใหม่งอกขึ้นจากเมล็ดที่เราได้เคาะลงไปนั่นเองครับ ลองทำกันดูนะครับ

สำหรับวิธีการผสมเกสร กล้วยไม้ลิ้นมังกร ทำได้ดังต่อไปนี้ได้เลยครับ
1. หาไม้จิ้มฟันสะอาด ๆ หน่อยนะครับ มาไว้จิ้มเส้าเกสรตัวผู้
2. นำไม้จิ้มฟันที่หามาได้ เขี่ยบริเวณ หมายเลข 1 ในภาพครับ หากเขี่ยถูกเราจะได้เส้นอะไรบางอย่างยาว ๆ ติดไม้จิ้มฟันเรามา นั่นละครับ เส้าเกสรตัวผู้เขาละ (หมายเลข 2 นะครับ)
3. นำเส้าเกสรตัวผู้นี้ ถู ๆ ลงบน หมายเลข 3 ครับ ให้มีผงติดเยอะ ๆ หน่อย เท่านี้ ลิ้นมังกร ของเราก็พร้อมอุ้มท้อง เป็นแม่ไม้แล้วครับ









เอื้องโมก และ เอื้องโมกพรุ







                                                        เอื้องโมก และ เอื้องโมกพรุ

     หากกล่าวถึง คำว่า ใบกลม หรือ terete ในภาษาอังกฤษแล้ว ในแวด วงกล้วยไม้ มีความหมาย ถึงลักษณะของใบกล้วยไม้รูปร่างกลมยาวเป็นรูปทรงกระบอก ที่เมื่อตัดขวางใบแล้ว รอยตัดมีลักษณะกลม กล้วยไม้ใบกลมที่ดอกสวยงามที่มีลักษณะเด่นที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ เอื้องโมก (Vanda teres syn. Papilionanthe teres) และ เอื้องโมกพรุ (Vanda hookeriana syn. Papilionanthe hookeriana)
     เอื้องโมก เป็นกล้วยไม้ใบกลมพันธุ์แท้ที่สวยงาม มีถิ่นกระจายพันธุ์ตั้งแต่ เชิงเขาทางด้านใต้ของภูมิภาค หิมาลัย กระจายพันธุ์ ลงมาถึงประเทศเมียนมาร์และไทยถูกค้นพบเป็นครั้งแรกที่ Sylhet .ในช่วงปี คศ. ๑๘oo โดย ดร. นาทาเนล วาลิช (Nathaniel Wallich) แห่งสวนพฤกษศาสตร์ กัลกัตต้า ประเทศอินเดีย (๑๘๑๕-๑๘๔๑)โดยในช่วงนั้นดร. วาลิช ได้เดินทางเก็บตัวอย่าง พันธุ์พืชหลายชนิดรวมถึง เอื้องโมก จากประเทศเนปาล
     ต่อมาเขาได้นำ เอื้องโมก กลับไปปลูกที่ประเทศอังกฤษ ในปี คศ . ๑๘๒๙ และต่อมาได้ออกดอกในปี คศ. ๑๘๓๓. และภายหลังนาย จอห์น ลินเลย์ (John Lindley) นักพฤกษศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้ศึกษาและจำแนกชนิดพันธุ์ เอื้องโมก จากตัวอย่างแห้งที่เก็บโดย ดร. วาลิช และลงตีพิมพ์ลงในวารสาร พฤกษศาสตร์ ชื่อ Genera and species of Orchidaceous Plants จนกระทั่ง ในปี คศ . ๑๙๗๔ . นาง เลสลี่ การ์เร่ (Leslie Garay) ได้เปลื่ยนชื่อสกุลของ เอื้องโมก จากสกุลแวนด้า มาใช้ชื่อสกุล ปาปิลิโอเนนเท (Papilionanthe) ซึ่งชื่อสกุล ปาปิลิโอเนนเท นี้เป็นชื่อเดิมที่ได้ถูกตั้งชื่อใช้เรียกขึ้นมาก่อนแล้ว โดยนาย ฟรายดริช ริชาร์ด รูดอฟ ชเล็คเตอร์(Friedrich Richard Rudolf Schlecter) นักพฤกษศาสตร์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกล้วยไม้ ชาวเยอรมัน

  ทุกๆวันนี้ กล้วยไม้สกุล เอื้องโมก จะถูกจำแนกชนิดด้วยลักษณะใบที่กลมมน ซึ่งเป็นที่ยึดถือ ของบรรดานักพฤกษศาสตร์ส่วนใหญ่ ภายหลัง ได้ถูกพิจารณาแบ่งแยกกล้วยไม้สกุลนี้ ออกมาจาก กล้วยไม้สกุลแวนด้า
     เอื้องโมก เป็นกล้วยไม้ที่มีต้นขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ชอบขึ้นทอดลำต้นเลื้อยขึ้นไปตามต้นไม้ขนาดใหญ่ กล้วยไม้ที่ชอบแสงแดดจัดชนิดนี้ อาจมีลำต้นสูงได้หลายเมตร แตกกอและหน่อแขนงได้ง่าย มีลักษณะต้นและใบ กลม เรียวเล็ก ตั้งตรง หรือ อาจโค้งได้ ในบางครั้ง เอื้องโมก จะแทงตาดอกออกตามข้อ ลำต้นช่วงข้อที่ใกล้กับส่วนยอดของต้น ดอกมีขนาดใหญ่ประมาณ ๔ นิ้ว ในช่อมีดอกได้มากจำนวน ๓-๕ ดอก กลีบดอกสีชมพูขาว กลีบปากมีสีชมพู ที่หายากคือชนิดที่กลีบดอกสีชมพู แต่มีส่วนของกลีบปากสีเหลืองสด และจำนวนน้อยมากที่พบ ลักษณะกลีบดอกและปากสีขาวล้วนทั้งหมด
     โดยธรรมชาติ ในป่าเขตร้อน เอื้องโมก จะออกดอกได้ไม่เป็นฤดู และสามารถแทงดอกได้บ่อยครั้งต่อปี แล้วแต่แหล่งที่มาของ เอื้องโมก แต่ในสภาพ กึ่งเขตร้อน หรือในสภาพ การปลูกเลี้ยง ทั่วไป เอื้องโมก สามารถออกดอกได้ ๑-๒ ครั้ง ต่อปี ในช่วงเดือน มีนาคม -สิงหาคม

เอื้องโมกพรุ (Phapilionanthe hookeriana ชื่อพ้องเดิม=.Vanda hookeriana)


    เอื้องโมกพรุ เป็นกล้วยไม้ที่พบขึ้น ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ ในบริเวณแหลมสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และภูมิภาคมาเลเซีย-แพนนิซูล่า นายโธมัส ล็อป และ นายฮัค โล ( Thosmas Lobb & Hugh Low )ได้เก็บตัวอย่างสายพันธุ์ เอื้องโมกพรุ ครั้งแรก จากเกาะบอร์เนียว ได้นำมาปลูกเลี้ยงและส่งต่อมายัง สวนพฤกษศาสตร์หลวง คิว แห่งสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) Royal Botanic Garden Kew โดยนายเฮช จี ริชเชนบิช (H. G.Reichenbach)ได้ศึกษาและ จำแนกชนิดพันธุ์ กล้วยไม้ชนิดนี้โดยในครั้งแรก ได้ถูกจัดให้ อยู่ในสกุล แวนด้า เช่นเดียวกับเอื้องโมก ต่อมาในภายหลัง หลังจากได้มีการศึกษาค้นคว้า อย่างละเอียด กล้วยไม้ชนิดนี้ ก็ถูกจัดให้กลับไปอยู่ในสกุล ปาปิลิโอเนนเท่ เช่นเดียวกับ เอื้องโมก ซึ่งชื่อสกุล Papilionanthe (Papilio แปลว่า ผี้เสื้อ- nanthe = ดูคล้าย) ชื่อสกุลนี้มาจากรากศัพท์ ภาษาละตินสองคำ มีหมายความถึงลักษณะของดอกที่ดูคล้ายผีเสื้อนั่นเอง
     ลักษณะภายนอกทั่วไป ลักษณะต้นคล้ายกันกับ เอื้องโมก ทุกประการ แต่ลำต้นและใบจะผอมบางกว่าเล็กน้อย ปลายใบมีรอยหยักคอดแหลมลักษณะคล้ายตะขอ อันเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ โดยคำว่าฮุกเคอเรียน่า หมายความถึงลักษณะปลายใบที่หยักแหลมคล้ายตะขอ
     ในธรรมชาติ เอื้องโมกพรุ สามารถเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนมีลำต้นที่สูงมาก ฤดูออกดอกอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม แต่ในธรรมชาติ ก็พบได้ว่า เอื้องโมกพรุ ออกดอกได้ไม่เป็นฤดู ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ก้านดอกออกตามข้อของลำต้นในบริเวณใกล้ส่วนยอดของต้น ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ นิ้ว ในช่อมีจำนวนดอก๒-๔ ดอก กลีบดอกกลม สีโทน ชมพูอ่อน กลีบปากขนาดใหญ่กว้าง มีแต้มสีม่วงแดงเข้มชัดเจน

สายพันธุ์กล้วยไม้ลูกผสม ในกลุ่มสกุลเอื้องโมก

     รีเนนเทนด้า มอร์เจนรูท (Renantanda Morgenrood) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมในกลุ่มสกุล เอื้องโมก ชนิดแรกเป็นคู่ผสมระหว่าง เอื้องโมก กับ รีเนนเทอร่า สตอริไอ(V.teres x Renanthera storei) จากเกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้จดทะเบียนตั้งชื่อเป็นกล้วยไม้ชนิดใหม่ ในปี คศ. ๑๘๕๖. ผู้ขอจดทะเบียนคือ โจเซฟฟิน เวนบริโร (J.van Brero) อย่างไรก็ตามลูกผสมที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่าง กว้างขวาง ได้แก่ แวนด้ามิสโจคิม (V. Miss Joaquim) เป็นลูกผสมระหว่าง เอื้องโมก กับ เอื้องโมกพรุ( (V.teres x V.hookeriana) นายริดเลย์ (H.N.Ridley) ได้เป็นผู้ขอจดทะเบียนตั้งชื่อกล้วยไม้ชนิดนี้ในปี ค ศ.๑๘๙๓. ซึ่งกล้วยไม้ลูกผสมชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในการปลูกประดับตกแต่งประดับสวนเขตร้อน และดอกยังนิยมใช้ทำพวงมาลัยแบบฮาวาย และใช้ในการประดับตกแต่งอื่นๆทั่วไปอีกด้วย
     แวนด้ามิสโจคิม ได้ถูกนำไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในการผสมเพื่อสร้างสรรค์กล้วยไม้ลูกผสมชนิดใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า๘๕สายพันธุ์ลูกผสมใหม่ที่มีสายเลือดมิสโจคิม หนึ่งในจำนวนนั้นอาทิเช่น แวนด้า เมิอร์ แอล เวลทุยส์ (Vanda Merr L.Velthuis) ซึ่งได้ถูกนำผสมใช้ผสมต่อในชั้นหลังๆ จนได้ลูกผสมมากมายที่จดทะเบียนตั้งชื่อใหม่ถึง ๔o ชนิด
     เอื้องโมกพรุ ก็ได้ นำมาผสมข้ามชนิดข้ามสกุล จนได้ กล้วยไม้ลูกผสมชนิดใหม่ๆประมาณ ๒๕ ชนิด หลังจาก แวนด้ามิสโจคิม ยังมีกล้วยไม้ลูกผสมสายเลือด เอื้องโมกพรุ ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันดี อีกเช่น แวนด้า คูเปอรี (V. Cooperi) ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง เอื้องโมกพรุ กับ แวนด้ามิสโจคิม (V.hookeriana x V.Miss Joaqium) ได้จดทะเบียนตั้งชื่อเป็นกล้วยไม้ลูกผสม ชนิดใหม่ ในปี ค ศ . ๑๘๙๓.
     เอื้องโมก ก็ได้ถูกนำมาใช้ผสม และได้ ลูกผสมชนิดใหม่ๆมากกว่า ๘o ชนิด ลูกผสม เอื้องโมก ที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ โจเซฟฟิน แวน บริวโร ( V.Josephine van Brero) เป็นลูกผสมระหว่าง เอื้องโมก และแวนด้า อินซิกเน่ จากประเทศอินโดนีซีย (V.teres x V. insigne) กล้วยไม้ลูกผสม เอื้องโมก ชนิดนี้ได้จดทะเบียน ตั้งชื่อเป็นกลวยไม้ชนิดใหม่ เมื่อปี ค ศ. ๑๙๓๖ . จากลักษะเด่นของกลีบดอกสีม่วงชมพู กลีบปากสีส้มแดงเข้ม ลูกผสมชนิดนี้ได้ถูกนำมาใช้ เป็นพ่อแม่พันธุ์เพื่อสร้างสรรค์ กล้วยไม้ลูกผสมชนิดใหม่ๆ ต่อเนื่องขึ้นมาอีก ไม่ต่ำกว่า ๑๒o ชนิด
     ลูกผสมอีกชนิดของ เอื้องโมก เช่น แวนด้า เอ็มมา แวน ดีเวนเตอร์ (V. Emma van Deventer) เป็นลูกผสมระหว่าง เอื้องโมก และแวนด้า ไตรคัลเลอร์ จากประเทศอินโดนีเซีย (V.teres x V. tricolor) จดทะเบียนตั้งชื่อเป็นลูกผสมชนิดใหม่โดยนาย แวน ดีเวนเตอร์ ในปี ค ศ . ๑๙๒๖ กล้วยไม้ลูกผสมชนิดนี้ได้ใช้เป็นพ่อแม่ในการผสมครั้งต่อมา และกล้วยไม้ลูกผสมใหม่ๆเกิดขึ้นมากว่า ๔o ชนิด รวมถึง แวนด้า แนลลี่ มอร์เลย์ ( V. Nellie Morley ) ซึ่งได้รับรางวัล เกียรตินิยมจากสมาคมกล้วยไม้อเมริกัน มากกว่า ๕๘ รางวัล ลูกผสม เอื้องโมก ต่างๆเหล่านี้ ได้ปลูกเลี้ยงและใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม กล้วยไม้ตัดดอก อย่างแพร่หลาย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การปลูกเลี้ยง เอื้องโมก และ เอื้องโมกพรุ

     แสง : กล้วยไม้แวนด้าใบกลม และแวนด้าใบร่องลูกผสม เกือบทุกชนิด ชอบแสงแดดจัด เป็นปัจจัย ให้ผล ถึงนิสัยที่ออกดอกได้ตลอดปีแล้ว ในการออกดอกแต่ละครั้งยังให้ดอกจำนวนมาก ในแต่ละช่อได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับสภาพแวดล้อมให้นำเข้ามาปลูกในโรงเรือน หรือปลูกในอาคารในสถานที่เลี้ยงที่ต้องอาศัยแสงจากหลอดไฟ เช่นทาง ประเทศแถบยุโรปและเอมริกาเหนือ
     น้ำและความชื้น : กล้วยไม้ กลุ่มนี้ ชอบน้ำและความชื้นที่มากพอเพียง รดน้ำให้ชุ่มโชกวันละครั้ง ตอนเช้าเมื่อแสงแดดยังไม่จัด หากในช่วงที่อากาศแห้งมาก สามารถ เพิ่มการรดน้ำในช่วงค่ำได้อีกครั้ง และควรงดเว้นการให้น้ำในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจัด และควรจัดปลูกให้ภาชนะที่มีการระบายอากาศเพราะกล้วยไม้กลุ่มนี้เป็นกล้วยไม้ รากอากาศที่ชอบการระบายน้ำดี หาก เครื่องปลูกแฉะ เกินไปอาจทำให้เกิดอาการ รากเน่าได้
     ปุ๋ย : กล้วยไม้กลุ่มนี้มักชอบให้ใช้ปุ๋ยบ่อยครั้ง เหมาะกับให้ปุ๋ยเป็นประจำและสม่ำเสมอ ทุกสัปดาห์ ใช้ปุ๋ยเกร็ด ละลายน้ำ สตูรเสมอ 21-21-21 ฉีดพ่นบำรุงต้น ตามอัตราส่วนที่ระบุข้างฉลากของภาชนะที่บรรจุ อาจเสริมการให้ปุ๋ย สูตร ตัวกลางและตัวท้ายสูงในช่วงระยะที่กล้วยไม้อยู่ในช่วงฤดูออกดอก
     ภาชนะ : กล้วยไม้ชนิดนี้มักปลูกในกระถางดินเผา กระเช้าไม้สักแขวน หรือปลูกติดเสา ติดหลักไม้ วัสดุปลูกใช้ กาบมะพร้าว ถ่าน หรือ หินภูเขาไฟ กล้วยไม้กลุ่ม เอื้องโมก และลูกผสมนี้สามารถ ปลูกประดับ ตกแต่ง ในบริเวณสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อม ของภูมิอากาศ แบบเขตร้อน ชื้น หรือ กึ่งร้อนชื้น โดยสามารถปลูกเป็นแนวรั้ว ปลูกเป็นกลุ่มๆ ปลูกรวมกันในภาชนะขนาดใหญ่ หรือปลูกลงแปลงได้ซึ่งเราจะได้ชื่นชมกับดอกสีสันสดใส ที่ออกได้บ่อยครั้งและบานทนนานกว่ากล้วยไม้กลางแจ้งชนิดอื่นๆ ซึ่ง สามารถ สร้างสรรค์บรรยากาศของสวนเขตร้อนให้กับสถานที่ของคุณได้เป็นอย่างดี


                                                        

เอื้อง เขากวางอ่อน ( Phalaenopsis cornu-cervi )


                                         เอื้อง เขากวางอ่อน ( Phalaenopsis cornu-cervi )


           เขากวางอ่อน เป็นสกุลย่อยของ Phalaenopsis เป็นกล้วยไม้ที่พบได้ตามป่าธรรมชาติในพืนแผ่นดินบ้านเราแทบทุกภาค มีเขตกระจายพันธุ์เกือบทุกภูมิภาคเอเชีย ตั้งแต่ประเทศ อินเดีย พม่า ไทย ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปิน และ เกาะสุมาตรา ซึ่งแต่ละชนิดที่พบตามประเทศต่าง ๆ นั้นล้วนมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ที่ค้นพบ
ลักษณะทั่วไป เขากวางอ่อน เป็นกล้วยไม้ที่ให้ดอกทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดู ร้อนและฤดูฝน จะเป็นฤดูที่ เขากวางอ่อน ให้ดอกมากที่สุด ส่วนในฤดูหนาวมักพบว่า เขากวางอ่อน จะให้ดอกน้อย หรือ ไม่ให้ดอกเลย ในธรรมชาติ พบว่า กล้วยไม้ชนิดนี้มักขึ้นบริเวณคาคบไม้ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200 - 1000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ชอบแสงรำไร และมีความชื้นรวมไปถึงบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ลักษณะดอก เขากวางอ่อน นับว่าเป็นกล้วยไม้ที่มีสีสันของดอกหลากหลายอีกชนิดหนึ่ง ดอกของ เขากวางอ่อน นั้น พบได้ตั้งแต่มีลวดลายสีแดง ขีดพาดไปมาคล้ายลายของเสือโคร่ง ไปจนถึง สีเหลืองสนิด บางต้น มีลักษณะดอกแบบทูโทน กึ่งสองสี และบางต้น ก็มีสีแดงทั่วทั้งพื้นดอกซึ่งเป็นลักษณะพิเศษใช้ชื่อว่า เขากวางแดง ฟอร์ม ฉัตรดา เราลองไปดูภาพเขากวางแดง สีต่าง ๆ กันครับ

             การปลูกเลี้ยง เอื้อง เขากวางอ่อน
ในการปลูก เขากวางอ่อน นั้น สามารถปลูกโดยการนำไปติดกับขอนไม้ วิธีการติดกับขอนไม้นั้นทำได้ดังนี้
1. ล้างขอนไม้ที่จะนำ เขากวางอ่อน ไปติดให้สะอาด
2. ใช้วัสดุรองระหว่างขอนไม้กับ เขากวางอ่อน เช่น กาบมะพร้าว หรือ สเฟกนั่มมอส หรือ รากชายผ้าสีดา ทั้งนี้เพื่อให้วัสดุปลูกเหล่านั้นคอยกักเก็บความชื้นให้กับ เขากวางอ่อน เพื่อให้กล้วยไม้โตเร็วและมีรากที่ สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม **หากติดขอนไม้เพียว ๆ เขากวางอ่อน อาจจะมีต้นที่เล็กและโตช้าได้**
3. มัด เขากวางอ่อน กับขอนไม้ที่ใช้เป็นวัสดุปลูกให้แน่นด้วยเชือกฟางหรืออื่น ๆ แต่อย่าใช้ลวด เนื่องจากเส้นลวด อาจบาดต้นของ เขากวาง ได้ ทำให้เกิดแผลและโรคอื่น ๆ ตามมา หรือตายไปเลย
4. นำกล้วยไม้ที่ปลูกใหม่นี้แขวนไว้ในร่มรำไร อย่าร่มมากเกินไปเช่น ใต้โรงรถยนต์ หรือบริเวณที่ทึบ ควรแขวนอยู่ ในบริเวณที่ที่โปร่ง มีแสงสว่างทอดถึง หรือใต้แสลน 80% เป็นต้น
5. รดน้ำวันละ 1 ครั้ง จะเช้าหรือเย็นแล้วแต่สะดวก หากจะให้ดีควรให้ปุ๋ยเป็นประจำทุก ๆ 1 สัปดาห์จะทำให้ กล้วยไม้ของเรา แข็งแรง สวยงาม มากยิ่งขึ้น
6. รอดูดอกได้เลยครับ อิอิ

        ***สำหรับกระถางแขวน ทำเช่นเดียวกับการปลูกติดกับขอนไม้ เปลี่ยนเป็นนำวัสดุปลูกรองพื้นในกระถางก่อน แล้วทำตามข้อ 3 ลงมาได้เลยครับ***

          สำหรับการดูแลไม้นิ้วและไม้ออกขวดใหม่นั้นทำได้ดังนี้
1. หลังจากออกขวด ควรนำลูกไม้ปลูกลงในตะกร้า โดยมีสเฟกนั่มมอสรองพื้น รดน้ำโดยการพ่นให้เป็นฝอยละ เอียดเพื่อไม่ให้ใบลูกไม้ช้ำ คุมความชื้นให้ดี อย่าให้แฉะเกินไป ลูกไม้อาจจะเน่าตายได้
2. ฉีดพ่นยากันรา 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อย การให้ปุ๋ยให้แบบเจือจางอย่าเข้มจนเกินไปเพราะอาจทำให้ ใบของลูกไม้เน่าได้ โดยสลับสูตร ตัวหน้าสูง กลางสูง สลับสัปดาห์ ให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
3. พยายามระวังฝน หากฝนตกถูกลูกไม้โดยตรงกล้วยไม้อาจช้ำและตายได้
4. สำหรับไม้นิ้ว ปฎิบัติเช่นเดียวกันกับไม้ออกขวดครับ




ไม้นิ้ว เอื้องมอนไข่ Dendrobium thyrsiflorum



                                                 ไม้นิ้ว เอื้องมอนไข่ Dendrobium thyrsiflorum


ประเภทพันธุ์ไม้ : ไม้นิ้ว / สกุลหวาย
ประเภทสินค้า : กล้วยไม้ไทยพันธุ์แท้

      เอื้องมอนไข่เป็นกล้วยไม้ สกุลหวายไทยพันธุ์แท้ มีถิ่นกำเนิด ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย กระจายพันธุ์ ไปถึงบางส่วนของประเทศเวียดนาม กล้วยไม้ชนิดนี้ เป็นกล้วยไม้ขนาดกลาง ไปถึงขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อเลี้ยงสมบูรณ์เต็มที่จะแตกเป็นกอได้และมีความสูง ของลำลูกกล้วยได้ประมาณ ๑๒-๒o นิ้ว ลักษณะต้นเป็นลำยาว มีใบ๒-๓ ใบสีเขียวเข้มรูปทรงใบเป็นรูปรี เกิดตรงส่วนปลายของลำลูกกล้วย มักแทงช่อดอกตรงส่วนปลายของลำ ดอกลักษณะเป็นช่อรูปทรงกระบอกขนาดใหญ่ ประกอบด้วยดอกเล็กขนาด๓ซม.เกิดเวียนรอบก้านดอกคล้ายตาสัปปะรด กลีบดอกสีขาว กลีบปากเป็นสีเหลืองตรงใจกลางดอก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ดอกบานประมาณ๑-๒สัปดาห์
     ในปัจจุบันกล้วยไม้ ชนิดนี้ถูก เก็บออกมาจากป่าในสภาพกล้วยไมใ้ป่า นำมาขายเป็นกำ เป็นกิโล จนอยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์จากแหล่งกำเนิดในธรรมชาติ ซึ่งกล้วยไม้ป่าส่วนใหญ่ถึงแม้จะมีราคาถูก และสภาพดูต้นโตอวบอ้วนสมบูรณ์จากในป่า แต่มักจะปลูกเลี้ยงค่อนข้างยากเพราะต้องอาศัยเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมทั้งอากาศและอุณภูมิที่แตกต่างจากในป่าที่ถูกเก็บมา หากปรับตัวไม่ได้หรือดูแลไม่ดีเพียงพอกล้วยไม้ป่าเหล่านั้นมักจะมีหน่อ ลำลูกกล้วย และใบเล็กแกร็นลง และตายไปในปีหลังๆครับ
     กล้วยไม้นิ้วเอื้องมอนไข่ ชุดนี้ เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่ายกว่า เอื้องมอนไข่ที่ถูกเก็บมาจากป่ามาก เป็นชุดที่ผสมจากต้นพ่อแม่พันธุ์ คัดต้นสวยดอกดกช่อยาว ของทางออร์คิดทรอปิคอลเองครับ เพราะเป็นกล้วยไม้ที่ได้ผสมเพาะเลี้ยงในสภาพโรงเรือน ซึ่งต้นพันธุ์ สามารถปรับตัวให้ปลูกเลี้ยงในที่อากาศร้อนได้ ทุกภูมิภาคของไทย ได้มีกานนำกล้วยไม้ชนิดนี้ ปลูกเลี้ยงที่จังหวัดจันทบุรี ก็ได้ผลดีเช่นกันครับ
      การปลูกเลี้ยง ควรใช้เครื่องปลูกที่ระบายน้ำได้ดี เช่นถ่านผสมกับกาบมะพร้าวสับ หรือรากเฟินชายผ้าสีดาหั่นเป็นชิ้น สถานที่ปลูก ควรมีแสงรำไร อากาศถ่ายเทสะดวก ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ อาจใช้สลับกับปุ๋ยสูตรตัวกลางตัวท้ายสูง ตามอัตราส่วนอาทิตย์ละครั้ง สารเคมีป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นสลับกันเป็นระยะ การดูแลที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ จะทำให้กล้วยไม้โตเร็ว และออกดอกสวยงามครับ หากนำไปเปลื่ยน ย้ายปลูกลงในกระถาง ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นกระถางกล้วยไม้ กลม หรือสี่เหลื่ยมขนาด๓นิ้วครึ่ง ก็จะทำให้ต้นเจริญเติบโตเร็วแทงรากใหม่ได้หน่อต้นใหม่ที่โตขึ้นและสูงกว่าเดิมครับ